3 KEY SUCCESS FACTORS การนำเทคโนโลยีดิจิทัล
มาเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ

   

 

D-Summary

 
  • สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติพัฒนากระบวนการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยแนวท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติให้สามารถป้องกันก่อนเกิดเหตุความเสียหาย (Preventive) ด้วยการนำเทคโนโลยี GeoFencing หรือการระบุพื้นที่ที่ต้องการเฝ้าระวัง พัฒนาร่วมกับ Platform การติดตามยานพาหนะและอุปกรณ์ของ PTT Digital ภายใต้ชื่อ HERMES ร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์ Sensor, GPS และ Alarm ที่รถขุดของผู้รับเหมาก่อสร้างของกรมทางหลวง เพื่อเสริมศักยภาพการรักษาความปลอดภัยของแนวท่อส่งก๊าซจาก “การเฝ้าระวัง” เป็น “การแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ” 
  • 3 Key Success Factors ที่ส่งผลให้โครงการ PREACT หรือโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังแจ้งเตือนการรักษาความปลอดภัยของแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ประสบความสำเร็จ ได้แก่
1) การสนับสนุนจากผู้บริหาร และการเปิดโอกาสให้ User ผู้ดำเนินงานเข้ามามีส่วนร่วม ในการออกแบบและเสนอความคิดเห็น
2) การสื่อสารสร้างความตระหนักเพื่อขอความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในและนอกองค์กร
3) การมี Partner ที่มีความพร้อมและมีประสบการณ์ในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีที่สอดคล้องและสนับสนุนการดำเนินงานของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 
  • สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็น Key Enabler ผ่านการพัฒนาโครงการดิจิทัลแบบ Top Down เช่น การปรับปรุง Infrastructure และ System ต่าง ของระบบท่อส่งก๊าซฯ ประกอบกับการพัฒนาแบบ Bottom Up เช่น Initiatives จากหน่วยงานต่าง ประกอบกัน โดยการพัฒนาทั้ง 2 ด้านมุ่งเน้นการตอบโจทย์ Pain Point งานขนส่งก๊าซและบำรุงรักษาท่อเป็นหลัก

 

   

 

         การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันนอกจากการแข่งขันด้านการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการแล้ว การเสริมประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานในมุมมองต่าง ๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะทุกกระบวนการทำงานล้วนมีส่วนในการสนับสนุนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ 

          Digital Connect ได้รับทราบข้อมูลที่น่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมประสิทธิภาพการทำงานของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เราจึงเดินทางไปสัมภาษณ์และพูดคุยที่มาแนวคิดการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมศักยภาพการดำเนินงานขนส่งและบำรุงรักษาระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ กับ คุณสหเทพ ธรรมทัต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ, คุณประกอบ เบญจศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและควบคุมการส่งก๊าซธรรมชาติ, คุณพลกฤษณ์ มังคละคุปต์ ผู้จัดการส่วนระบบควบคุมอัตโนมัติและระบบปฏิบัติการ และทีมงาน โดยการสนทนาครั้งนี้  เป็นการเปิดมุมมองวิธีการนำเทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพกระบวนการทำงานได้อย่างน่าสนใจ

 

   

 

วิสัยทัศน์การบริหารงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ       

         คุณสหเทพ เล่าวิสัยทัศน์การบริหารงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติในมุมมองที่น่าสนใจว่า  

          “สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทำหน้าที่ Transmission System Operator ปฏิบัติการขนส่งและบำรุงรักษาระบบส่งก๊าซธรรมชาติให้มีความต่อเนื่องและมีความปลอดภัยสูงสุดรวมถึงพัฒนาเครือข่ายระบบส่งก๊าซให้เพียงพอ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในประเทศ ตามวิสัยทัศน์ “Trustworthy Gas Pipeline Operator”  โดยหนึ่งในกลยุทธ์คือ Behave Digitalized & Competent มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนงานปฏิบัติการขนส่งก๊าซและบำรุงรักษาระบบท่อให้มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูงสุด เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด”  

          “เพื่อให้บรรลุซึ่งวิสัยทัศน์ดังกล่าว เราให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดกลยุทธ์สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยจะดำเนินการผ่านการถ่ายทอดนโยบายตามลำดับ หรือ Policy Deployment ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การประชุม สัมมนา เวทีผู้บริหารพบพนักงาน และสารสื่อความต่าง ๆ ซึ่งผู้บริหารสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจะแฝง ค่านิยม SPIRIT+D ของ ปตท. อยู่ในเนื้อหาการสื่อความผ่านช่องทางต่าง ถ่ายทอดไปถึงพนักงานด้วย และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าวิสัยทัศน์ดังกล่าวมีการถ่ายทอดไปยังพนักงานผู้ปฏิบัติอย่างทั่วถึง เราจึงจัดตั้ง Cross Function Team ซึ่งเป็นทีมงานที่มาจากหลายฝ่ายมาทำงานร่วมกัน ได้แก่ คณะกรรมการดิจิทัลสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ หรือ TDC (TSO Digital Committee) และ คณะทำงาน CoP Digital (Community of Practice Digital) เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริง  ซึ่งบทพิสูจน์การบรรลุเป้าหมายด้านคุณภาพการทำงานตามวิสัยทัศน์ คือการได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ปี 2553 ที่สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็น 1 ใน 2 สายงานของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลนี้ นอกจากนี้ ในปี 2562  สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติยังได้รับรางวัล PTT SPIRIT+D ระดับ Gold ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของการนำค่านิยม SPIRIT+D ของ ปตท. มาใช้ให้เกิดขึ้นจริง” 

 

   
 
จากซ้าย คุณประกอบ เบญจศิริลักษณ์ (ผู้จัดการฝ่าย) , คุณสหเทพ ธรรมทัด (ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และ คุณพลกฤษณ์ มังคละคุปต์ (ผู้จัดการส่วน)  
 
     
     

 

การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็น Key Enabler สนับสนุนการดำเนินงาน     

         เมื่อเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กรสามารถรับรู้โดยสมาชิกองค์กรอย่างถูกต้องตรงกัน สิ่งสำคัญในลำดับถัดไปคือการผลักดันกระบวนการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งคุณประกอบ เบญจศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและควบคุมการส่งก๊าซธรรมชาติ ได้แบ่งปันแนวทางการดำเนินงานของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไว้ดังนี้  

         “บทบาทของคณะกรรมการดิจิทัล หรือ TDC (TSO Digital Committee) ทำหน้าที่กำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของสายงานระบบท่อส่งก๊าซฯ ให้สอดคล้องกับทิศทางของ ปตท. และกำหนดมาตรฐานพร้อมทั้งพัฒนา hardware, software และ ระบบสื่อสารให้รองรับงานปฏิบัติการและงานบำรุงรักษาการขนส่งก๊าซ รวมถึงกลั่นกรอง Initiatives ด้านดิจิทัลที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอขึ้นมาให้สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ มาตรฐาน และการบูรณาการกับระบบงานเดิม รวมถึงการขยายผลไปทั่วทั้งสายงาน นอกจากนี้ ยังมีคณะทำงาน CoP Digital (Community of Practice Digital) ทำหน้าที่พิจารณาหา Solution ด้านดิจิทัลที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหา Pain Point หรือปรับปรุงงานด้านการปฏิบัติการและบำรุงรักษา (Operation & Maintenance) ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น” 

 

     

 

         คุณประกอบได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาโครงการด้านดิจิทัลของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติประสบผลสำเร็จไว้ว่า สายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาตินำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็น Key Enabler สนับสนุนการขนส่งก๊าซและบำรุงรักษาระบบท่อให้มีประสิทธิภาพความปลอดภัยสูงสุด หรือ Fully Automated O&M&M (Operate & Maintenance & Measurement) ผ่านแนวทางการพัฒนาโครงการด้านดิจิทัล 2 แบบคือ  

1. แบบ Top Down เช่น การปรับปรุง Infrastructure และ System ต่าง ๆ ของระบบท่อส่งก๊าซฯ 
2. แบบ Bottom Up เช่น Initiatives จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ของระบบท่อเอง 

        โดยการพัฒนาทั้ง 2 ด้านต้องตอบโจทย์ Pain Point งานขนส่งก๊าซและบำรุงรักษาท่อ ที่ผ่านมาเราผลักดันให้เกิด Digital Project หลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือโครงการ PREACT หรือ Pipeline Real-Time Excavator Alarm and Continuous Tracking System ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง CoP Digital และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่” 

     

 

พัฒนาศักยภาพการทำงานจากการเฝ้าระวัง เป็น แจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ 

     หลายครั้งนวัตกรรมใหม่ ๆ มักเกิดจากไอเดียและความคิดของผู้ปฏิบัติงานที่อยู่หน้างาน ด้วยความใกล้ชิดและรู้ซึ้งถึงกระบวนการทำงานที่เกิดขึ้นจริงหน้างาน จึงสามารถระบุปัญหาจากการดำเนินงาน และแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด คุณพลกฤษณ์ มังคละคุปต์ ผู้จัดการส่วนระบบควบคุมอัตโนมัติและระบบปฏิบัติการ และทีมวิศวกรที่ดูแลท่อส่งก๊าซฯ ได้แก่ คุณดนัย ธนเมธี และ คุณชระสิงห์ ซ้ายขวัญ เล่าที่มาโครงการ PREACT ซึ่งคว้ารางวัล PTT Innovation Award สาขา SPARK Innovation ประจำปี 2019 มาได้ดังนี้ี้  

      “นวัตกรรมในโครงการ PREACT เกิดจากช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลมีโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ โครงการ EEC (Eastern Economic Corridor) ทำให้เกิดการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกจำนวนมาก เช่น การขยายถนน การตัดถนนใหม่ และในเร็ว ๆ นี้จะเกิดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบท่อส่งก๊าซซึ่งอยู่ใต้ดิน และเมื่อมีผู้รับเหมาเข้ามาก่อสร้างในพื้นที่แนวท่อมากขึ้น จำนวนพนักงานสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจึงไม่เพียงพอต่อการตระเวนตรวจตราเฝ้าระวังแนวท่อเนื่องจากการลาดตระเวนเป็นแบบสุ่มหรือเชิงรับทำให้ไม่สามารถเจาะจงพื้นที่ๆ ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษได้ จึงเกิดแนวคิดในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้การดูแลรักษาความปลอดภัยของแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปลี่ยนจากการเฝ้าระวังทั่วไปเป็นการ ป้องกันแจ้งเตือนก่อน

 

     
  แผนภาพ PREACT Workflow 
 

 

       "แนวคิด (Concept) การพัฒนากระบวนการทำงานที่ทีมงานออกแบบไว้คือ เมื่อมีรถขุดของผู้รับเหมาเข้าไปใกล้แนวท่อในระยะที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายให้กับแนวท่อจะเกิด Alarm การแจ้งเตือนแบบ Real-Time เพื่อให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังความเสี่ยงจากจุดเกิดเหตุและสามารถแจ้งเตือนยับยั้ง หรือป้องกันการเกิดความเสียหายได้อย่างทันท่วงที ซึ่งทีมงานพิจารณาเห็นว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยี Geofencing หรือการระบุพื้นที่ที่เราต้องการความเป็นส่วนตัว/เฝ้าระวัง ประกอบกับปัจจุบัน Sensor GPS มีราคาที่ถูกลงและมีความแม่นยำมากขึ้น ทีมงานจึงตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีนี้ 

       "นอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมด้านระบบ กระบวนสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องภายนอกองค์กรก็สำคัญไม่แพ้กัน ทีมงานได้เข้าไปสื่อสารให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนอกองค์กรตระหนักถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่จะได้รับ และประสานงานขอแผนการก่อสร้างกับผู้รับเหมาของกรมทางหลวง และเข้าติดอุปกรณ์ Sensor และ Alarm ที่รถขุดเจาะ หลังการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ หากรถขุดเข้าใกล้แนวท่อส่งก๊าซในระยะที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงจะมี Alarm แจ้งเตือนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุจุดที่มีความเสี่ยงได้แบบ Real-Time สามารถวางแผนการเข้าตรวจสอบพื้นที่ตามความเสี่ยง ไม่ต้องสุ่มตรวจสอบ ประหยัดเวลา รวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ทีมงานยังสามารถสื่อสารแจ้งเตือนผู้ขับรถขุดเพื่อให้ระมัดระวังการดำเนินงานได้อีกด้ว” 

     
     
 

ทีมงาน PREACT เข้าประสานงานกับกรมทางหลวงเพื่อสื่อสารสร้างความเข้าใจ และ ขอความร่วมมือในการอนุมัติเข้าติดตั้งอุปกรณ์ที่รถขุดของผู้รับเหมา

 

 

     
 

การติดตั้งอุปกรณ์โครงการ PREACT ที่อุปกรณ์ของผู้รับเหมา กรมทางหลวง 

 

 

ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ  

          คุณพลกฤษณ์ และทีมงานซึ่งได้แก่ คุณดนัย และ คุณชระสิงห์ กล่าวถึงผลลัพธ์จากการนำเทคโนโลยีของโครงการ PREACT มาใช้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “หลังจากการนำเทคโนโลยีของโครงการ PREACT มาดำเนินงานทำให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างเห็นได้ชัด 3 ด้านซึ่งได้แก่   

1. Process Efficiency : กระบวนการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเดิมเมื่อผู้รับเหมาจะทำงานต้องโทรแจ้งพนักงานของ ปตท. เพื่อเข้าไปตรวจสอบหน้างานว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ก่อนการทำงาน แต่เมื่อติดตั้งระบบ PREACT ในการทำงาน ระบบสามารถช่วยแจ้งเตือนและเฝ้าระวังความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำก่อนการเกิดเหตุ กระบวนการทำงานจึงพัฒนาเป็นการทำงานเชิงป้องกัน (Preventive) มากขึ้น 

2. Time Efficiency : โครงการ PREACT ทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบการทำงานที่สามารถบริหารเวลาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเดิมที่พนักงานต้องเฝ้าระวัง ตรวจตราตามระยะเวลาการทำงานที่กำหนดแบบ Time Base เมื่อมีระบบมาช่วยเฝ้าระวังทำให้ทีมงานสามารถปรับการทำงานให้เป็นแบบ Condition Base คือเฝ้าระวังจุดเสี่ยง และสามารถใช้เวลาดำเนินงานอย่างคุ้มค่ากับจุดที่พึงเฝ้าระวัง 

3. Communication Efficiency : เดิมการประสานงานเฝ้าระวังดำเนินการได้เพียงระดับหัวหน้างาน ทีมงานไม่สามารถประสานงานกับคนขับรถได้โดยตรง จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการสื่อสารที่อาจไม่ถึงคนขับรถที่อยู่หน้างาน แต่เทคโนโลยีในโครงการ PREACT ช่วยให้ทีมงานสามารถสื่อสารกับคนขับรถเพื่อเฝ้าระวังได้โดยตรง ทั้งในส่วนที่อยู่ในแผน นอกแผน ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อแนวท่อได้มากขึ้น  

 

ปัจจัยความสำเร็จ 

          ความสำเร็จของโครงการ PREACT ไม่เพียงต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในองค์กร แต่รวมถึงการได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกองค์กรเช่น กรมทางหลวง และผู้รับเหมา คุณพลกฤษณ์ และทีมงานวิศวกร ได้บอกเล่าข้อมูลปัจจัยความสำเร็จจากการดำเนินโครงการ PREACT ว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลักได้แก่ 

1. การได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและการเปิดโอกาสให้ User มีส่วนร่วม ออกแบบดีไซน์ เสนอความคิดต่าง ๆ เพื่อให้ระบบง่ายต่อการใช้งาน และมีประสิทธิภาพ 

2. การได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในและนอกองค์กร เช่น User ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการ, กรมทางหลวง, ผู้รับเหมา และคนขับรถ ซึ่งการสื่อสารสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากแนวท่อส่งก๊าซเกิดความเสียหาย ทำให้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้มีการแจ้งขอจากผู้รับเหมาและกรมทางหลวงให้ทีมงาน PREACT เข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ระบบ PREACT ของทางโครงการด้วยตัวเองอีกด้วย 

3. การมี Partner ผู้ให้บริการพัฒนาระบบอย่าง PTT Digital ซึ่งมี Platform ด้านการติดตามยานพาหนะและอุปกรณ์ภายใต้ชื่อ HERMES ที่พร้อมรองรับการพัฒนาเทคโนโลยี และประสบการณ์ในการให้บริการระบบควบคุมและติดตามรถขนส่งของ กลุ่ม ปตท. ประกอบกับทีมงาน PTT Digital มีความพร้อมด้านความรู้ ความเข้าใจในตัวเทคโนโลยีเป็นอย่างดีซึ่งตอบโจทย์สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีให้กับสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ 

     

         หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จ คือ การได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้บริหารองค์กร และการเปิดโอกาสให้ User มีส่วนร่วมในการออกแบบ และแสดงความคิดเห็น 

     
 
ทีมงานผู้ร่วมพัฒนาระบบในโครงการ PREACT ของสายงานระบบท่อส่งก๊าซ PTT และ PTT Digital
 
 
จากซ้าย คุณวัชเรศ เตธัญญวรากูล (PTT Digital), คุณดนัย ธนเมธี (PTT), คุณพลกฤษณ์ มังคละคุปต์ (PTT), คุณชระสิงห์ ซ้ายขวัญ (PTT), คุณตรัสวิน รักษาสัตย์ (PTT Digital)
 

 

         การดำเนินงานของสายงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ความสำเร็จในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้พัฒนากระบวนการทำงานในธุรกิจจะเกิดขึ้นได้จริงและมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากผู้บริหารและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสื่อสารสร้างความตระหนักให้พนักงานมีเป้าหมายเดียวกันอย่างชัดเจน" เพียงเท่านี้เราทุกคนก็สามารถช่วยสนับสนุนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ 

 

ผลิตภัณฑ์อื่นๆ