รู้จัก Sustainable Technology

เส้นทางสู่ Net-Zero ของทุกองค์กร

 

        นับถอยหลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโลกไม่ได้แค่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก ‘ภาวะโลกรวน’ (Climate Change) แต่กำลังก้าวเข้าสู่ ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling) หรือโลกกำลังเข้าสู่จุดวิกฤตยิ่งกว่าของภาวะโลกร้อน

        ผู้คนทั่วโลกกำลังร่วมกันผลักดันเป้าหมาย ‘Net Zero Emission’ หรือ เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อสร้างสมดุลให้กับสภาพแวดล้อม อันเป็นส่วนสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพของภูมิอากาศโลก จึงยิ่งต้องทวีความสนใจและให้ความสำคัญกับเป้าหมายมากขึ้น

        รวมถึงให้ความสำคัญกับ ‘ความยั่งยืน’ มากขึ้น และพยายามลดผลกระทบเชิงลบที่ตนเองและองค์กรอาจจะก่อให้เกิดกับสิ่งแวดล้อม เป็นเหตุผลให้องค์กรธุรกิจต้องเริ่มปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ‘ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม’ กลายมาเป็นโจทย์ที่เป็นรูปธรรม

        หนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้องค์กรสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมได้ คือ ‘Sustainable Technology’ เทคโนโลยีที่ว่านี้คืออะไร ทำงานอย่างไร และสำคัญอย่างไรกับองค์กรธุรกิจ PTT Digital จะพาไปรู้จักกันในบทความนี้ 

 

 

ทำไมต้อง Sustainable Technology 

        Sustainable Technology คือ เทคโนโลยีจากการใช้ Digital Solutions ภายในองค์กร มุ่งเน้นผลลัพธ์ทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ

        หรืออธิบายง่ายๆ คือ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดโลกร้อน ลดการใช้ทรัพยากร ทำให้องค์กรใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าที่สุด หรือช่วยองค์กร ‘ลดผลกระทบ’ ต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการดำเนินงานใดๆ ขององค์กรนั่นเอง

        นอกจากนี้  องค์กรที่นำ ‘Sustainable Technology’ ไปปรับใช้ยังได้รับประโยชน์จากผลกระทบเชิงบวกที่สำคัญที่สุดคือ ‘การสร้างความยั่งยืนให้องค์กร’ เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตไปควบคู่กับสังคมได้อย่างแท้จริง เพราะจะทำให้องค์กรสามารถคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ไม่ได้คำนึงถึงแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว

 

Sustainable Technology ส่งเสริมองค์กรในทุกด้าน

        1) ลดความเสี่ยงในการพัฒนาโปรเจ็กต์ : ปัจจุบันในการพัฒนาโปรเจ็กต์ต่างๆ ขององค์กรภาคเอกชนและรัฐ จำเป็นจะต้องพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะมีข้อบังคับทางกฎหมายและทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง การนำเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนเข้ามาใช้จะช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาโปรเจ็กต์ ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินได้อย่างราบรื่น ลดความขัดแย้ง เพิ่มความสบายใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

        2) เพิ่มโอกาสในการสร้างกำไร : เมื่อองค์กรธุรกิจสามารถพัฒนาโปรเจ็กต์ได้อย่างราบรื่น ด้วยการคำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบทุกด้าน ลดการใช้ทรัพยากร และสามารถนำทรัพยากรในกระบวนการผลิตกลับมาใช้อย่างคุ้มค่า เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับภาคธุรกิจ

        3) ดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพ : บุคลากรคุณภาพให้ความสำคัญกับ ‘ทัศนคติ’ ขององค์กรต่อโลก สิ่งแวดล้อม และสังคม อยากอยู่ในองค์กรที่มีความก้าวหน้าทางด้านธุรกิจและความคิด ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและคนรุ่นใหม่ จากบทความของ Forbes ได้พูดถึงบุคลากรที่เป็นคนรุ่นใหม่ใน Gen Z ที่ให้ความสำคัญต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน จึงมีความต้องการทำงานในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่มีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

 

 

        ชวนรู้จัก Sustainable Technology พื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจของคุณสามารถทำกำไรและเดินหน้าไปพร้อมกับสังคม

 

Cloud Sustainability เครื่องมือวัด และบันทึกข้อมูลเพื่อความยั่งยืน

 

        เทคโนโลยีแรก คือ Cloud Sustainability หรือ แนวทางการใช้บริการคลาวด์เพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และสังคม โดย Cloud Sustainability หมายรวมถึงการดำเนินงาน การส่งมอบบริการ การบริโภค และการใช้งานคลาวด์อย่างยั่งยืนด้วย

        โดย Cloud for Sustainability มีโซลูชันในการลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่าง อาทิ ช่วยประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กรผ่านการตรวจสอบ Carbon Footprint ขององค์กร ช่วยบันทึกรายการและจัดทำรายงาน แสดงออกมาเป็น Emissions Impact Dashboard และช่วยระบุพื้นที่ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเฝ้าติดตามวัดผลผ่านการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ 

 

Carbon Footprint Measurement เครื่องมือวัดการปลดปล่อยคาร์บอน

 

        เทคโนโลยีต่อมาที่หลายๆ คนนึกถึง คือ Carbon Footprint Measurement ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า ‘การประเมินรอยเท้าคาร์บอน’ หรือการประเมินปริมาณการปล่อยมลพิษที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

        โดยแบ่งออกเป็น 3 ขอบเขตหลักๆ คือ 1) การปล่อยคาร์บอนทางตรง 2) การปล่อยคาร์บอนทางอ้อมจากกระบวกการเผาผลาญพลังงานที่ซื้อมา และ 3) การปล่อยคาร์บอนทางอ้อมที่นอกเหนือจากการเผาผลาญพลังงาน แต่ปรากฎในห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร

        เทคโนโลยีนี้จะจำเป็นมากขึ้น เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ Carbon Footprint Management หรือการบริหารจัดการการปลดปล่อยคาร์บอนขององค์กรธุรกิจต่างๆ ที่ได้ออกมาประกาศแล้วว่าต้องการเดินสู่เป้าหมาย Net Zero Emission

 

Advanced Grid Management Software เครื่องมือจัดการพลังงานขั้นสูง

 

        อีกหนึ่งเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนที่น่าสนใจ คือ Advanced Grid Management Software หรือ ซอฟต์แวร์การจัดการกริดขั้นสูง ที่ประกอบด้วยระบบวัดค่าและควบคุมเครื่องจักร ระบบการจัดการพลังงานจากสาธารณูปโภค ที่มาพร้อมการปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานระบบไฟฟ้าขององค์กรสามารถควบคุมแหล่งพลังงานทั่วทั้งโครงข่ายไฟฟ้าได้ และสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้พลังงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยสามารถเลือกที่จะลดการจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบและลดค่าใช้จ่ายขององค์กร รวมถึงสามารถเลือกขยายหรือชะลอการลงทุนระบบไฟฟ้าและพลังงานเพิ่มเติมอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า

        Advanced Grid Management Software มีความสำคัญขึ้น เพราะปัจจุบันเป็นยุคที่ทุกองค์กรมุ่งเน้นจะใช้พลังงานและทรัพยากรอื่นๆ อย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังเริ่มเล็งเห็นโอกาสในการขยับไปใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

 

Internet of Things (IoT) เครื่องมืออัจฉริยะที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้

 

        หลายๆ คนอาจจะคิดว่า Internet of Things (IoT) ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน แต่ Internet of Things (IoT) นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพราะ IoT สามารถช่วยได้ทั้งในการสนับสนุนการทำงานทางไกล ลดการเดินทาง ลดการใช้ทรัพยากร ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามการทำงานของเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และส่งข้อมูลกลับมาสู่ผู้ใช้ ตอบโจทย์การทำงาน โดยไม่ต้องเดินทางไปหน้างาน

        ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น โดรนตรวจสอบพื้นที่ โดรนส่งของที่มีแท่นชาร์จไฟอัตโนมัติ หรืออย่างเช่นเซนเซอร์อัจฉริยะ  นอกจากนี้ การใช้งานเทคโนโลยี IoT ยังเสริมความสามารถให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์สามารถรับรู้ข้อมูลค่าการใช้งานอุปกรณ์ในลักษณะ Digital Data พร้อมใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์สามารวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการปรับปรุงการดำเนินงานให้ตอบโจทย์การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

Electric Mobility ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า

 

        การเข้ามาของ Electric Mobility หรือ ยานพาหนะไฟฟ้าที่ใช้ในเชิงธุรกิจ ย่อมเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและธุรกิจไปพร้อมๆ กัน เพราะสามารถช่วยลดการใช้พลังงานฟอสซิล ปรับมาเป็นการใช้งานพลังงานสะอาด 

        ในอนาคตหากว่า ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนรถบรรทุกให้เป็นรถบรรทุกไฟฟ้า 100% ก็จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานฟอสซิล รวมถึงลดปริมาณการปล่อยควันดำและคาร์บอนลงได้อย่างมหาศาล แสดงถึงความสำคัญของการนำยานพาหนะไฟฟ้าเข้ามาใช้ในธุรกิจ

 

        ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ความตระหนักรู้’ และ ‘การลงมือทำ’ เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นหนึ่งใน ‘ตัวชี้วัด’ โอกาสสู่ความสำเร็จของธุรกิจ

        ดังนั้น การนำ Sustainable Technology มาปรับใช้ในองค์กร โดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องสำคัญขององค์กรที่นอกจากจะช่วยให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ ทั้งองค์กรยังสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตสอดคล้องแนวคิด ESG ที่กลายเป็นกระแสหลักด้วย

 

 

บรรณานุกรม

Fromm, J. (2023). Gen Z Expects Brand Action On Sustainability. Retrieved from https://www.forbes.com/sites/jefffromm /2023/06/26/gen-z-expects-brand-action-on-sustainability/?sh=dfd36ea5058c

Greenfield, E. (2023). What Are The 5 Emerging Sustainable Technologies?. Retrieved from https://sigmaearth.com/what-are-the-5-emerging-sustainable-technologies/

Hewlett Packard Enterprise. (n.d.). What is sustainable technology?. Retrieved from https://www.hpe.com/us/en/what-is/sustainable-technology.html

Patterson, N. (2022). What is Environmental Sustainability? Goals with Examples. Retrieved from https://www.snhu.edu/about-us/newsroom/stem/what-is-environmental-sustainability

ไทยพับลิก้า. (2565). การ์ทเนอร์เผย 3 เทรนด์เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม ปี 2025. สิบค้นจาก https://thaipublica.org/2022/05/gartner-report-emerging-technologies-for-environmental-sustainability/